สรุปการออกกำลังกายในปี 50

จริงแล้วความตั้งใจลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายกลับมาอีกครั้งราวเดือนตุลาคมปี 49 แม้ว่าจะเริ่มเขียนบล็อกเรื่องความพยายามลดน้ำหนักมาตั้งแต่เดือนกันยายนเพื่อบันทึกความคืบหน้าของน้ำหนักตัวที่ชั่งทุกเช้าวันอาทิตย์เป็นประจำ ครั้งนั้นคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะหาซื้อ iPod มาใช้และตั้งใจจะใช้ให้คุ้มค่าที่สุด นั่นคือเอาไว้ใช้ฟังเพลงขณะออกกำลังกายก็ยิ่งดี

หลังจากสอบปลายภาค 2549/1 ของมสธ. เสร็จ ประจวบกลับ iPod รุ่นปรับปรุงใหม่หรือรุ่นที่ 5.5 ก็เพิ่งออกวางตลาดพอดี จึงขอให้พี่ชายที่มีเข้าไปมีส่วนร่วมจัดงานแฟร์ช่วยซื้อให้หน่อย จึงได้ iPod 5.5G สีขาว ความจุ 30GB มาใช้ในระบบเงินผ่าน 10 เดือน 0% ที่ไม่เลือกความจุมากกว่านี้เพราะคิดว่าแบบนี้แหละพอเพียงแล้ว

ระยะแรกนั้นมีทั้งเดินออกกำลังกาย sit-up และยกน้ำหนัก แต่น้ำหนักตัวก็ยังวิ่งอยู่แถวๆ เก้าสิบห้า เก้าสิบหกกิโลอยู่ดี เดินออกกำลังไปเรื่อยๆ อยู่หลายเดือน ไม่มีวี่แววว่าน้ำหนักจะลง เขียนบันทึกเรื่องความท้ออยู่หลายครั้ง

จนกระทั่งเดือนมีนาคมปีนี้ เพื่อนเลิฟนาย tum เขียนบล็อกตัวเองถึงเราอธิบายว่าการออกกำลังที่ถูกต้องเป็นอย่างไร แถมยังอุตสาห์โทรมาอธิบายความและให้คำแนะนำอย่างละเอียด จึงทำให้บรรลุศิลปะการเผาผลาญไขมันในบัดเดี๋ยวนั้น จินตนาการสำหรับการเดินออกกำลังจึงเปลี่ยนโฉมไปในทันที

และในสิ้นเดือนมีนาคมนั่นเองที่ Nike+iPod Sport Kit เริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ รองเท้าที่ใช้เดินออกกำลังอยู่ก็มีสภาพเก่าเหลือเกิน เสียหายไปมากเพราะใช้เกาะตู้เสื้อผ้าทำ sit-up ด้วย แถมส่วนลึกของหัวใจก็ปรารถนาเจ้า Nike+iPod มาตั้งแต่เปิดตัวในประเทศบ้านเกิดของมันแล้ว

ไม่นานหลังจากเปิดตัว ก็มีคนที่ได้ใช้งานมันเขียนอธิบายการใช้งานในทำนองรีวิวอุปกรณ์ใหม่บ้าง เป็นบล็อกส่วนตัวบ้าง อ่านแล้วก็ตัดสินใจทันทีว่าถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนรองเท้าสำหรับออกกำลัง ยิ่งครั้งนี้จะได้อุปกรณ์มาช่วยให้เห็นสภาพที่แท้จริงของการออกำลัง ช่วยสนองตอบนิสัยที่นิยมตัวเลขสถิติอันเป็นนิสัยเดิมของคนที่ชอบวิเคราะห์และตัดสินใจบนข้อมูลข้อเท็จจริง (Be data driven) ได้เป็นอย่างดี

ในวาระวันเกิดในเดือนรุ่งขึ้นก็ได้งบประมาณอุปถัมภ์จากแม่ให้สมปรารถนาเสียที เริ่มตั้งแต่รองเท้า Nike+ คู่ใหม่ เครื่อง iPod nano สีเงิน ความจุ 2GB และแน่นอนอุปกรณ์ Nike+iPod Sport Kit ทั้งหมดนี้ช่วยเปิดศักราชใหม่ของการออกกำลังกายในแบบที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ช่วยให้สามารถวางแผนการออกกำลังได้ดียิ่งขึ้น

การลดน้ำหนักจะเหลือเพียงการเดินออกกำลังเท่านั้น เพราะการ sit-up และการยกน้ำหนักอาจจะไม่ช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้ในระยะนี้จึงต้องหยุดไว้ก่อน และการ sit-up ด้วยการเอารองเท้าใหม่ไปเกาะตู้เสื้อผ้าก็จะทำให้อายุการใช้งานสั้นลงอย่างน่าใจหาย

เริ่มต้นกันใหม่ด้วยน้ำหนักตัวเก้าสิบหกกิโลกรัม เริ่มทำความรู้จักคุณเรียวจากบล็อก TheRyo’s Gym และคุณกั้งจาก SiamPod ที่นี่มีเว็บบอร์ดให้คนที่ใช้ Nike+ ออกกำลังได้คุยกันด้วย แถมยังได้รู้จักกับ PODRunner podcast โดย dj steveboy ผู้ mix เพลงมากมายหลากหลายทั้งรูปแบบและความเร็ว สำหรับฟังไปออกกำลังไป

เพียงสามสัปดาห์เท่านั้น น้ำหนักตัวก็ลดลงถึงสามกิโล แต่มีเหตุให้ต้องหยุดเดินครั้งแรกเพราะต้องไปเข้าร่วมการอบรมเข้มฯ ที่มสธ. เป็นการอบรมสำหรับผู้ที่เรียนจบ ทันทีที่กลับถึงบ้านในตอนบ่ายหลังจากห้าวันที่เข้าอบรมก็เริ่มเดินเบาๆ อีกครั้ง เพราะเกรงว่าที่หยุดไปนั้นกล้ามเนื้อจะไม่พร้อมกับการเดินอย่างหนักที่รออยู่

จากนั้นก็เดินออกลังกายอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเดือนมิถุนายนหลังจากสวาปามเมี่ยงคำที่คิดถึงมานาน โรคเก๊าต์ก็กลับมาเยือน แม้เพียงเดินเหินก็ยังทำได้ลำบาก ลืมเรื่องเดินออกกำลังไปได้เลย ต้องพักรักษาตัวอยู่นานเป็นสิบวัน ในที่สุดก็กลับมาเดินได้อีกครั้งในเดือนต่อมา ขณะที่น้ำหนักตัวก็ขึ้นๆ ลงๆ และทำท่าว่าจะลงได้ยากขึ้นกว่าครั้งเริ่มแรกมาก

พอคุ้นเคยกับระบบ Nike+ ที่ได้สร้างชุมชนผู้รักการออกกำลังทั่วโลกไว้บนโลกอินเตอร์เน็ท ช่วยให้การออกกำลังไม่เปลี่ยวดายอีกต่อไป สามารถเข้าร่วมการแข่งขันกับเพื่อนๆ จากทุกมุมโลกได้ทันที

ยิ่งเดิน ยิ่งหาความรู้ ยิ่งสังเกตมาก ก็ยิ่งช่วยพัฒนาการเดินออกกำลัง ถึงขั้นว่าสามารถค้นพบการเดินด้วยขาท่อนบนที่จะช่วยให้เดินได้เร็วขึ้นและยาวนานขึ้น

ช่วงสุดท้ายของปีกับเป้าหมายน้ำหนักตัวที่เก้าสิบกิโล ทำให้ต้องพึ่งพา “การอดล้างพิษแบบหนึ่งวัน” ที่เคยทำจนชำนาญแต่ก็ห่างหายไปนานเช่นกันอีกครั้ง ช่วยให้เห็นน้ำหนักตัวที่เก้าสิบกิโลได้ในช่วงปลายเดือนกันยายน การอดจึงต่อเนื่องมาจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนเพราะเริ่มรู้สึกทุกข์มากขึ้นเมื่อต้องอด

จนสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนความหนาวเย็นลงมามากเป็นพิเศษ จึงตัดสินใจออกวิ่งเหยาะๆ เพราะรู้สึกว่าการเดินเหมือนเดิม หัวใจก็เริ่มคุ้นชินเสียแล้ว เริ่มวิ่งเหยาะๆ เพราะต้องการคลายความหนาว และหัวใจจะได้ทำงานมากขึ้น

แม้ระยะแรกจะมีความกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บข้อหัวเข่าที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็ยังทนฝืนวิ่งเหยาะๆ ต่อไป โดยในใจมีความหวังอย่างแรงกล้าว่านี่จะเป็นการสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อหัวเข่าให้แข็งแรงขึ้น แล้วอาการบาดเจ็บก็จะไม่เกิดขึ้น

แต่ผลข้างเคียงของความกังวลนั้นกลับนำอาหารมื้อดึกกลับมา น้ำหนักตัวที่น่าพอใจอยู่แล้วกลับมีแนวโน้มว่าจะดีดขึ้นอีกครั้ง จนถึงวันนี้น้ำหนักตัวกลับมาวิ่งเล่นอยู่แถวๆ เก้าสิบสอง เก้าสิบสามกิโลอีกจนได้

พิจารณาช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดเพื่อก้าวเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น เป้าหมายที่เคยตั้งไว้ว่าอยากเห็นน้ำหนักตัวที่แปดสิบกิโลในสิ้นปีหน้าจะยังคงอยู่

การอดล้างพิษแบบหนึ่งวันอาจจะต้องนำกลับมาใช้อีกครั้ง ส่วนการสร้างกล้ามเนื้อด้วยการ sit-up และยกน้ำหนักยังหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมไม่ได้ แต่ที่อยากทำมากก็คือ “อยากสวดมนต์และทำสมาธิ” เพราะจะช่วยเพิ่มพลังจิต และพลังจิตนี้แหละที่จะช่วยบังคับจิตใจไม่ให้เดินหาของกินระหว่างมื้อและในตอนค่ำ อีกทั้งยังจะช่วยให้การกินอาหารในแต่ละมื้อไม่มากเกินไป เป็นต้นธารของการลดน้ำหนักให้ได้ผล