
ถาม : SKYFALL
ตอบ : Done
นั่นเป็นช็อตหนึ่งในหนังตัวอย่าง James Bond 007 ตอนใหม่ล่าสุดที่ผมเห็นแล้วตัดสินใจทันทีว่าจะดูภาคนี้ในโรงหนังหลังจากที่ห่างเหินไปนานตั้งแต่ก่อนเปลี่ยน Bond คนใหม่ เนื่องจากรู้สึกเบื่อกับแนวทางของหนัง
ต้องเตรียมตัวขนาดที่จัดเอา Casino Royale และ Quantum of Solace มานั่งดูใหม่อีกรอบเพื่อปูทางไว้ก่อน เพราะว่าสองภาคก่อนนั้นเป็นการเปิดตัว Bond คนใหม่ไปจนถึงทีมงานภายใน MI6 อีกหลายคน รวมถึง Felix จาก CIA ที่มีส่วนช่วยเหลือ Bond อย่างมาก ที่โดดเด่นอีกอย่างคือทั้งสองภาพนั้นต่อเนื่องกันแม้จะเป็นคนละเรื่อง
และการเปิดตัว Bond คนใหม่ใน Casino Royale แทบจะทำให้ภาคนั้นเป็นการเริ่มต้นใหม่ของหนังชุด 007 อย่างเป็นทางการในยุคนี้ก็ว่าได้ มีทั้งการเลื่อนขั้นมารับตำแหน่งสายลับที่มีรหัส 00 (Double O) นำหน้า ได้เห็นความระห่ำของเขาในยุคเริ่มแรก ได้เห็นความรัก ได้เห็นความสมรรถนะของร่างกายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในคนก่อนๆ และต่อเนื่องมาถึง Quantum of Solace ที่แสดงได้เห็นพัฒนาการทางอารมณ์
จนกระทั่งหนังตัวอย่างของ SKYFALL เริ่มเผยแพร่สู่ชาวโลก มีโจทย์มากมายซ่อนไว้ในนั้นเช่น เรื่องราวจะยังต่อเนื่องจากภาคที่แล้วไหม เกิดอะไรขึ้นกับ Bond ถึงต้องมีการทดสอบสภาพจิตใจอีกครั้ง เขาจะยังระห่ำอยู่อีกไหม ความสัมพันธ์ระหว่าง M และ Bond จะเป็นอย่างไรในภาคนี้ และสุดท้ายอะไรคือ “SKYFALL”
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น ฉากการทดสอบสภาพจิตใจของ Bond ด้วยการซักถามเป็นฉากสำคัญที่ถึงกับสั่งตัวเองว่าต้องดูในโรง นานวันเข้ายิ่งอยากดูทันทีที่เริ่มฉากเลยทีเดียว นั่นเพราะปีที่แล้วเพิ่งมีหนังเรื่อง A Dangerous Method เล่าเรื่องชีวิตของ Carl Jung บุคคลสำคัญอีกคนในวงการจิตวิทยา/จิตวิเคราะห์ผู้ร่วมสมัยกับ Sigmund Freud บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ Psychoanalysis แต่อ่อนวัยกว่าโดย Jung เป็นผู้ค้นคิดการวิเคราะห์ผ่านการซักถามด้วย ‘คำ’ นี้ขึ้นมา แล้วใช้คำตอบมาอธิบายสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้ตอบ ทำให้สนใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกับ Bond เป็นแน่ถึงกับต้องเข้ารับการทดสอบนี้
ปกติจะไม่ค่อยตามอ่านเรื่องย่อจากสื่อต่างๆ ที่รายงานเรื่องหนังเพราะต้องการเข้าไปสัมผัสและรับรู้เอง แต่ยิ่งตามดูหนังตัวอย่างของ SKYFALL ก็จับคำสำคัญได้ว่าว่า Bond ตายในภาคนี้
ยิ่งกระตุ้นความอยากเข้าไปอีก
SKYFALL เปิดเรื่องด้วยภารกิจของ Bond ตามแบบฉบับปกติ ฉากแอ็คชั่นสุดมันนำเรื่องไปก่อน ที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือภารกิจกลางกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกีนี้มีความร่วมมืออย่างเป็นระบบจากสำนักงานใหญ่ของ MI6 ในอังกฤษ จนกระทั่งการตัดสินใจครั้งสำคัญของ M เป็นที่มาของเรื่องทั้งหมดในภาคนี้
บทหนังให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ให้ความสำคัญของสภาวะในจิตใจคนอยู่ตลอดเวลา ตัวละครทุกตัวถ่ายทอดสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ในใจตัวเองอย่างที่ไม่มีให้เห็นในหนังแอ็คชั่นที่ผ่านมาเท่าไหร่
โจทย์ที่ถามอยู่ในเรื่องอย่างเช่น การตัดสินใจกับความรับผิดชอบของผู้ตัดสินใจ, วิธีเก่ากับโลกยุคใหม่, หน้าที่กับเรื่องส่วนตัว, ยังรู้สึกปลอดภัยอยู่ไหม, คนที่เราสร้างขึ้นมากับมือยังไว้ใจได้อยู่อีกไหม เป็นเหมือนแรงส่งของบทให้เรื่องดำเนินไป
จำเป็นต้องเปิดเผยสักนิดว่าในภาคนี้ Bond ตายจริงๆ และก็กลับมาใหม่เมื่อสถานการณ์กำหนด เกิดอะไรขึ้นต้องไปพิสูจน์เอง Bond ไม่สามารถกลับมาปฏิบัติภารกิจได้ทันที จำเป็นต้องผ่านการทดสอบอีกมากมายเสียก่อน รวมถึงบททดสอบทางจิตวิทยาที่ยกมานั้นด้วย แต่งานนี้มีสิ่งที่เขาผ่านตั้งแต่ยังไม่ทดสอบคือ ความไว้วางใจที่ M มีให้ น่าจะเพราะทดสอบมาตลอดสองภาคที่ผ่านมาแล้วก็ได้ สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีคือ Bond สุขุมรอบคอบยิ่งขึ้น ส่วนความมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจเกินร้อย
คนที่เป็นแฟนหนังเจมส์ บอนด์ คงเคยรู้ข้อมูลพื้นฐานประจำตัว Bond ที่ Ian Fleming กำหนดไว้ เช่นความสูง ความสามารถทางภาษา ความสามารถในการใช้อาวุธ จนถึงสิ่งสำคัญอย่าง Bond ไม่เคยปลอมตัว และใช้ชื่อจริงในการแนะนำตัวทุกครั้ง ตามวลีที่ติดตรึงใจพวกเรามานานว่า “The name is Bond. James Bond” ใช้ปืนสั้น Walther PPK 9 mm. สวมนาฬิกา Omega ขับรถ Aston Martin แต่ไม่เคยรู้ประวัติของเขาเลย แล้วใครกันที่รู้ดีที่สุด
คำตอบคือ M นั่นเอง เธอจึงไว้วางใจ Bond มากที่สุด โดยความไว้วางใจนี้ถ่ายทอดออกมาผ่านการแสดงของ ท่านผู้หญิง จูดี้ เดนท์ (Judi Dench, CH, DBE, FRSA) อย่างล้นปรี่ และเรื่องราวส่วนตัวของ Bond ก็ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการในภาคนี้ รวมถึงสิ่งที่ฝังลึกในจิตใจตั้งแต่วัยเด็กของเขา
และเมื่อภารกิจหนึ่งเสร็จสิ้นลงพร้อมกับความสูญเสียมากมาย Bond ยังคงต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป กับการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นภายใน MI6
บทวางความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ เอาไว้อย่างลงตัว วางการเปลี่ยนแปลงเป็นความท้าทายให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป วันนี้อาจะไม่ต้องการอุปกรณ์สุดล้ำเหมือนก่อน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความร่วมไม้ร่วมมือกันภายในหน่วยงาน
ตัวร้ายที่มาพร้อมกับความสามารถที่เหลือล้ำทำให้พลังการทำลายล้างเพิ่มมากขึ้นแทบไม่มีขีดจำกัด ประเด็นก็ยังอยู่ในสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของตัวร้ายอย่าง ‘Silva’ อดีต MI6 ชั้นหัวกะทิคนนี้ แม้โปรดักชั่นจะใส่แอ็คชั่นล้างผลาญในสเกลที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ความลึกในใจของ M, Bond และ Silva นั้นน่าสนใจกว่า
ตัวหนังออกมาไม่ขาดไม่เกิด ไม่ล้ำหน้าและไม่ช้าเกินไป สมดุลย์ทั้งการแสดงและบทพูด อยากจะชมว่าจังหวะทำได้สนุกและชวนติดตาม ดูแล้วเก็บเกี่ยวอะไรต่ออะไรได้ตลอด 143 นาทีที่หนังฉาย
สำหรับคนที่อยากดูหนังบู๊ล้างผลาญคลายเครียดอาจไม่อิ่ม สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวของอุปกรณ์สุดไฮเทคอาจถึงกับเบื่อ แต่สำหรับคนที่สนใจ James Bond ในฐานะคนๆ หนึ่งว่าเขาคิด เขารู้สึก เขาลงมือปฏิบัติ และเขาตัดสินใจอย่างไร เรื่องนี้เหมาะ
ไม่ได้ดรามา แต่อยากบอกว่า SKYFALL ดูแล้วได้คำตอบดีๆ มากมาย
ข้อมูลเพิ่มเติม


รู้ไว้…ไม่โง่
