สงสารเด็กน้อย

ปกติแล้วเวลาประมาณสี่ห้าโมงเย็น ผมไม่ค่อยจะออกจากบ้านไปไหนอีก แต่เย็นนี้มีภาระกิจเร่งด่วน

ด้วยทางผู้บริการสินค้าออนไลน์ได้แจ้งมาทางอีเมล์ว่าสินค้าหมด และสินค้าที่ผมเลือกแทนนั้นทำให้ผมต้องโอนเงินเพิ่มเติม เย็นนี้ผมจึงต้องรีบออกไปที่ธนาคารสาขาที่อยู่ในห้างใหญ่ไกล้บ้านท่ามกลางเม็ดฝนที่ทำท่าจะเทลงมา

ภาพที่เห็นก็คือโรงเรียนที่อยู่ปากซอยบ้านผมทั้งสองโรงที่เพิ่งเลิกเรียนพอดิบพอดี มวลหมู่นักเรียนกำลังขมีขมันแยกย้ายกันกลับบ้าน นักเรียนชั้นโตสุดของโรงเรียนทั้งสองคือมัธยม 3 หมายความว่าจะมีเด็กประถมมากมายเดินกันขวักไขว่

ไม่ว่าจะเดินเดี่ยว เดินกับเพื่อน เดินกับผู้ปกครอง ที่แน่ๆ ทุกคนมีกระเป๋าหนังสือใบเขื่องประจำกาย หลายคนนิยมใช้กระเป็าเป้ที่สามารถสะพายไว้ด้านหลัง เพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า น่าสังเกตอย่างยิ่งว่าเด็กๆ ต้องสะพายกระเป๋าที่อ้วนและหนัก ผมประมาณด้วยตัวเองว่าน่าจะหนักพอๆ กับตัวน้องๆ เหล่านั้นเลยกระัมัง

พลันในความคิด ย้อนกลับไปยังสมัยผมเรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ ผมจำได้ว่าไม่เคยต้องถือกระเป๋าขนาดใหญ่ขนาดนี้ ทุกคืนก่อนไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ผมจะเน้นย้ำให้ลูกๆ ทุกคนจัดตารางสอนให้ดี ใส่กระเป๋าให้พร้อม แล้วไปนอน ทำให้ผมสรุปเอาเองว่าเด็กสมัยนี้ไม่ต้องจัดตารางสอนหรืออย่างไรจึงต้องถือกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้ หรือเด็กสมัยนี้ตัวเล็กลงกว่าแต่ก่อน…อีกแล้ว

ผมยังปักใจเชื่ออยู่ว่าเด็กสมัยนี้ต้องทุกข์ทรมานกับกระเป๋าหนังสือใบเขื่องพอๆ กับระบบการเรียนการสอนที่ไม่ได้สอนให้เด็กรู้จักคิด รู้จักชีวิต ไม่ได้สอนให้รู้จักกับความสุขในการเรียนรู้