เพราะหนาว จึงเริ่มวิ่ง

สัปดาห์ที่ผ่านมาอุณหภูมิลดลงจนเย็นจับใจจริงๆ เช้าๆ ตื่นขึ้นมาเห็นอุณหภูมิประมาณยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสององศาก็ลิงโลด คนเมืองหนาวมาเห็นคงแอบหัวเราะในใจเหมือนกัน ก็บ้านเรามันเมืองร้อนนี่นา จะไม่ให้กระดี๊กระด๊ากับอากาศเย็นได้อย่างไร

เช้าวันจันทร์ หนาวเสียจนต้องเร่งเดินจนสร้างสถิติความเร็วในหนึ่งกิโลเมตรได้น้อยลง แต่ผ่านเข้าวันอังคาร หนาวเสียจนไม่เดินแล้ว เริ่มวิ่งเหยาะเสียเลย

จริงแล้วมีความรู้สึกสืบเนื่องมาตั้งแต่วันอาทิตย์แล้ว ช่วงก่อนเที่ยงออกจากบ้านไป สยามพารากอน เพื่อรับหนังสือ “ปิติฉายาลักษณ์” ที่ได้จากการส่งข้อความสั้นไปร่วมสนุกกับวิทยุ จ.ส.ร้อย เมื่อเย็นวันศุกร์ คราวแรกก็ตอบไปสนุกๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่อีกไม่นานทางรายการเขาโทรกลับมาบอกว่าได้รางวัล แต่ต้องไปรับเอง เป็นการชวนไปชมงานที่เขาจัดนั่นเอง

นั่งรถเมล์มาลงที่คณะเภสัช จุฬาฯ เพราะรอรถเมล์จากหน้ากองสลาก ราชดำเนินกลาง จะมาลงหน้าสยามนานสองนานแล้วก็ไม่ยอมมาเสียที วันอาทิตย์แท้ๆ รถก็ไม่ติด แต่รถไม่ยอมมา อย่างนี้หรือจะให้หันไปใช้บริการรถสาธารณะ พออีกสายหนึ่งมาก็ต้องขึ้นไว้ก่อน ลงรถแล้วเดินเอาหน่อยก็ไม่เสียหาย ก็เดินลดความอ้วนอยู่แล้วนี่

ขณะที่เดินขึ้นสะพานลอยข้ามแยกปทุมวัน ต่อไปยังสยามดิสคัฟเวอรี่ สะพานลอยนี้สูงเหมือนกัน เดินจ้ำอ้าวเพราะจะรีบไป เดินขึ้นบันไดก็ต้องเหนื่อยกว่าปกติใช่ไหม แต่พอทนได้ เดินไปเรื่อยๆ จนผ่านประตูห้างเข้าไป

บังเกิดพุทธิไอเดียสิคราวนี้ สงสัยอย่างแรงว่าทำไมที่เดินออกกำลังกายเป็นชั่วโมงๆ ทุกวัน มันไม่เห็นจะเหนื่อยแบบนี้เลย ไม่ได้สัมผัสความแรงของหัวใจที่ทำงานมากขึ้นแบบนี้เลย หรือว่าออกกำลังไม่ถึงพีคเสียที …ถ้าไม่ถึงพีค โกรทฮอร์โมนก็ไม่หลั่ง เหมือนออกกำลังไปก็เสียเปล่า

พอเช้าวันอังคาร อากาศเย็นเป็นใจเสียจริง จะเดินไปเรื่ิอย แม้จะสวมเสื้อกันหนาวไว้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเหงื่อเม็ดแรกจะซึมออกมาเมื่อไหร่ เป็นไงเป็นกัน ออกวิ่งเหยาะๆ เสียเลย วิ่งไปสักครู่ก็ถอดเสื้อกันหนาวออกและตั้งใจมั่น อดทนจนวิ่งครบเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ “หกร้อย” แคลอรี่ ที่ตั้งไว้น้อยเพราะว่าตื่นสาย ออกกำลังกายสาย แต่อยากให้เสร็จราวๆ แปดโมงเช้าเหมือนเดิม จะได้ทำงานต่อ

เสร็จสมอารมณ์หมาย สามารถวิ่งเหยาะๆ จนครบเวลาได้ตามเป้า แหม…ได้ตามเป้าแบบนี้ ในเวลาที่น้อยกว่า แบบนี้ก็วิเศษไปเลย เช้าวันพุธจึงสานต่อเจตนา อากาศเย็นลงไปอีกนิด สถิติดีขึ้นอีกหน่อย

ได้สัมผัสหัวใจที่เต็นแรงขึ้น กล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่ขาและเท้าทำงานมากขึ้น ต้องอดทนในช่วงเริ่มต้น ไม่นานก็เข้าที่ พร้อมกับความร้อนที่ได้เพราะเตาเผาพลังงานภายในกายเริ่มทำงานแล้ว

071127 - 07′17″ Entitlement 071128 - 07′16″ Entitlement

จึงตั้งใจว่าจะวิ่งเหยาะๆ ให้ได้หกร้อยแคลอรี่ต่อวันไปเรื่อยๆ แต่หนหางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน ตลอดวันอังคารหลังจากได้วิ่งเหยาะๆ เกิดความรู้สึกกลัวว่าข้อเข่าและข้อเท้าจะบาดเจ็บจากการนี้หรือไม่ ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาคงจะแย่ไม่น้อย เพราะต้องหยุดออกกำลังเพื่อฟื้นฟูให้หายสนิทก่อน ไม่ได้ออกกำลังก็คงไม่ดีแน่

บังเกิดเป็นความเครียดแบบหลบในที่กดดันให้เกิดมื้อดึกขึ้นอีกครั้งในคืนวันอังคารนั้นเอง

คืนเดียวไม่พอ แม้ว่าวันต่อมาจะปรากฏชัดแล้วว่าไม่มีอาการบาดเจ็บที่ข้อเข่าและข้อเท้าเลย แถมยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นอีกด้วย มีอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อแทรกเข้ามาเพียงเท่านั้น เป็นธรรมดาที่เมื่อออกแรงกล้ามเนื้อนั้นมากกว่าที่เคย กรดแลคติกก็จะหลั่งออกมาในกล้ามเนื้อ ทำให้เมื่อยล้า แต่เพราะ “ไม่ฝืนก็อย่าไหว” จึงสนุกกับการฝืนวิ่งเหยาะๆ ไป

การวิ่งเหยาะๆ ช่วยให้ได้เหงื่อเร็วขึ้นในสภาพอากาศเย็น พอได้เหงื่อก็รู้สึกดีที่ได้ออกกำลังกาย แต่คงต้องตั้งเป้าหมายสั้นๆ ไว้ก่อน เพราะต้องสร้างพื้นฐานให้กล้ามเนื้อขานั้นรองรับการวิ่งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

สัปดาห์ที่ผ่านมาแม้จะออกกำลังเพียงวันละไม่มาก แต่ต่อเนื่องทุกวัน ได้เหงื่อทุกวัน ก็รู้สึกดี และสถิติตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนก็ดีที่สุดเท่าที่ออกกำลังมา ระยะทางทะลุสองร้อยกิโลเมตรไปแล้ว

Summary Week 200748 Summary 200711

แต่มื้อดึกที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่คืนวันอังคารก็ส่งผลไม่น้อย แถมเผาแคลอรี่ประจำวันได้น้อยลงไป ดีที่น้ำหนักชั่งเมื่อเช้านี้ยังคงอยู่ที่เก้าสิบกิโลครึ่งอยู่

สัปดาห์ต่อไปนี้มาเริ่มกันใหม่ เป็นการเริ่มเดือนใหม่ เดือนสุดท้ายของปีอีกด้วย ต้องสร้างพื้นฐานสำหรับการวิ่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้