ผู้วิเศษกับพระอริยะ

“ผู้วิเศษ” นั้นหมายถึงผู้ได้ฌาน มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ดังเ่ช่นพวกฤาษี ดาบส เป็นต้น พวกเหล่านั้นยังละกิเลส (โลภ โกรธ หลง) ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิ์เป็น “อริยะ”

เพราะพระอริยะนั้นหมายเอาผู้ที่ละกิเลสให้เบาบางลงตามลำดับๆ จนกระทั่งเป็นอรหันต์ ละกิเลสได้หมดสิ้น ในคัมภีร์ท่านจึงแบ่งพระอริยะไว้ 4 จำพวกคือ

1. พระโสดาบัน ละกิเลส (สังโยชน์) ได้ 3 คือ ความยึดติดในตัวตน (สักกายทิฐิ) ความลังเลสงสัย เช่น สงสัยว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริงหรือเปล่า (วิจิกิจฉา) และความถือศีลและวัตรผิดเป้าหมายของศีลและวัตร เช่น รักษาศีลเพื่อให้คนรู้ว่าตนเคร่ง เป็นต้น (สีลัพพตปรามาส)

2. พระสกทาคามี ละกิเลส 3 อย่างข้างต้นนั้นได้ และยังละโลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงอีกด้วย

3. พระอนาคามี ละความกำหนัดในกาม (กามราคะ) และความกระทบกระทั่งใจ (ปฏิฆะ) ได้

4. พระอรหันต์ ละกิเลส 5 อย่างข้างต้นได้ (สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สัลัพพตปรามาส กามราคะ และปฏิฆะ) รวมกับอีก 5 อย่าง รวมเป็นละได้ครบ 10 คือ ความคิดในรูปธรรมอันประณีต เช่น ติดในความสุขสงบอันเกิดจากสมาธิชั้นรูปฌาน (รูปราคะ) ความติดในอรูปธรรม เช่น ติดในอารมณ์แห่งอรูปฌาน (อรูปราคะ) ความถือตัว (มานะ) ความฟุ้งซ่าน (อุทธัจจะ) และความไม่รู้เท่าทันสภาวะ ไม่เข้าใจกฏแห่งเหตุปัจจัย (อวิชชา)

ผู้วิเศษที่ได้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นอริยะ แต่พระอริยะมากมาย ท่านได้อิทธิฤทธิ์ ได้ฌานสมาบัติเป็นผู้วิเศษด้วยนอกเหนือจากการหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง (มีจำนวนน้อย คือพวกที่ผ่านเฉพาะสายวิปัสสนาล้วนๆ เท่านั้น ที่ท่านไม่มีอิทธิฤทธิ์)

จากหนังสือ “เมืองไทยจะวิกฤติ ถ้าคนไทยมีศรัทธาวิปริต” หัวข้อ “สังคมไทยกำลังใช้พระพุทธศาสนาเป็นที่ถ่ายทุกข์” แต่งโดย พระพรหมคุณาภรณ์ สมัยท่านดำลงสมณศักดิ์พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

ที่มา คอลัมภ์ระเบียงโบสถ์ นิตยสารชีวจิต ปีที่ 10 ฉบับที่ 219 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2550